จากผลการรวบรวมข้อมูล 10 บริษัทเจ้าของแบรนด์หรูชื่อดังระดับโลกในหลายๆ อุตสาหกรรม ได้แก่ Apple (AAPL: US), LVMH (MC: FP), Swatch Group (UHR: SW), Nike (NKE: US), Tesla (TSLA), Starbucks (SBUX: US), BMW (BMW: GY), Hermes (RMS: FP), Kering (KER: US) และ Dell (DELL: US) พบว่า รายได้ของ 7 ใน 10 บริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยยังเหลือ 3 บริษัท ที่อัตราการเติบโตยังปรับขึ้นอยู่ ได้แก่ Swatch Group, Nike และ Starbucks
รายได้กลุ่มสินค้าแบรนด์หรูช่วงครึ่งแรกของปี

รายได้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูที่เริ่มเห็นการเติบโตในอัตราช้าลงสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีความกังวลว่าอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้บริโภคจะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง โดยเฉพาะกับสิ่งของที่ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นสินค้าแบรนด์หรู หรือสินค้าแฟชั่น
อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ในกลุ่มบริษัทที่จัดทำข้อมูลโดยส่วนใหญ่ยังปรับดีขึ้นได้อยู่ ยกเว้นเพียง 3 บริษัท ได้แก่ Apple, Nike และ Tesla ที่ปรับลดลง เช่นในกรณีของ Tesla ปรับลงเพราะมีช่วงหนึ่งบริษัทได้ลดราคาขายรถยนต์เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกับผู้ผลิตรถยนต์จากจีน เช่น BYD (1211: HK)

อัตรากำไรของหุ้นแบรนด์หรูที่ยังคงปรับขึ้นได้อยู่แม้รายได้จะเติบโตช้าลงสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทส่วนใหญ่ยังคงมีความแข็งแกร่งในอำนาจการต่อรองกับลูกค้า ตามหลัก Five Forces Model ซึ่งการต่อรองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเอาเปรียบลูกค้า แต่หมายถึงความสามารถที่จะรักษาคุณภาพหรือภาพลักษณ์สินค้าได้ดีมาก และลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทสูงมาก เช่น iPhone และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ Apple, นาฬิกา Swatch, กาแฟ Starbucks, สินค้าหรูในเครือ LVMH, Hermes และ Kering (เจ้าของแบรนด์ Gucci และ Balenciaga)
ทั้งนี้ จากกราฟแสดงอัตรากำไรขั้นต้นจะสังเกตได้ว่า หุ้นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงกว่า 70% ได้แก่ Swatch Group, Kering, Hermes และ LVMH เป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่นหรูหรา ส่วนกลุ่มที่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงกลาง ระหว่าง 40-50% ได้แก่ Nike และ Apple จะเป็นกลุ่มแบรนด์เนมระดับตลาดแมส (Mass Market) และกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับต่ำส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมหนัก เช่นผู้ผลิตรถยนต์ ได้แก่ BMW และ Tesla
โอกาสลงทุนหุ้นกลุ่มแบรนด์หรู

การเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงของบริษัทส่วนใหญ่ในครึ่งแรกของปีนี้เป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก แต่โดยภาพรวมแล้วกลุ่มแบรนด์หรูยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ความเป็นแบรนด์หรู ซึ่งหมายถึงอำนาจในการต่อรองกับลูกค้า ช่วยให้บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้ในขณะที่ลูกค้ายังซื้อได้อยู่เหมือนเดิม
- มีความแข็งแกร่งในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นจากการขึ้นราคาขายสินค้าและบริการ
- ราคาหุ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2023 (Year To Date) ของบางบริษัทปรับตัวลงมากลายเป็นติดลบ ได้แก่ LVMH, Starbucks, Nike, Kering และ Swatch Group เช่นกรณีของ LVMH เคยปรับขึ้นไปถึง ระดับ All-Time High ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ก่อนปรับลงมาติดลบเกือบ 5% ซึ่งการย่อตัวลงมานี้ถือว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
- Upside ยังคงเปิดกว้าง โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ซึ่งรวบรวมราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ พบว่า หุ้นของ 10 บริษัทในการสำรวจมี Upside เป็นบวกทั้งหมดเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 26 ต.ค. และคำแนะนำส่วนใหญ่ยังคงเป็น “ซื้อ” ตามตารางต่อไปนี้ โดยหุ้นมี Upside สูงมากกว่า 20% ได้แก่ LVMH, UHR, BMW และ KER
